ทะเลทรายเป็นลักษณะทางภูมิศาสตร์รูปแบบหนึ่งที่ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีบริมาณน้ำฝนน้อยมากจนไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยพื้นที่ที่จะถูกจัดให้เป็นทะเลทรายนั้นจะต้องเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 250 มม.ต่อปี หรือพื้นที่ที่มีการระเหยของน้ำและการคายน้ำของพืชสูงกว่าปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา
เราสามารถแบ่งแยกทะเลทรายได้เป็นหลายรูปแบบ
ขึ้นอยู่กับกฏเกณฑ์ในการแบ่งแยก ถ้าใช้เกณฑ์ในการแบ่งคืออุณหภูมิ
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด นั้นก็คือ
-Hot
Desert ทะเลทรายนี้จะร้อนมากในตอนกลางวันและอาจจะหนาวในช่วงเวลากลางคืน
-Cold
Desert ทะเลทรายนี้อาจจะอบอุ่นในช่วงเวลากลางวันแต่จะหนาวมากในช่วงเวลากลางคืน
ถ้าจำแนกจากสภาพภูมิประเทศ
มักไม่มีฝนตกหรือมีน้อยมากอันเนื่องมาจากสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศนั่นเอง
ทะเลทรายที่เกิดขึ้นบนพื้นโลกเราสามารถจำแนกออกเป็น 2 เขต ได้แก่
1. ทะเลทรายลมสินค้า (Trade Wind Desert)
เป็นทะเลทรายในพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากลมสินค้า
ซึ่งนำพาความแห้งแล้งมาสู่พื้นที่ ทะเลทรายที่สำคัญในเขตนี้ ได้แก่
ทะเลทรายซาฮาร่า ทะเลทรายอาหรับ ทะเลทรายอิหร่าน ทะเลทรายฮาร์
ทะเลทรายการาฮารี ทะเลทรายนามิบ
ทะเลทรายอะตากามา และทะเลทรายออสเตรเลีย เป็นต้น
2. ทะเลทรายภาคพื้นทวีป (Continental Desert)
เป็นทะเลทรายที่ปรากฏอยู่ในบริเวณที่อยู่ลึกเข้าไปในภาคพื้นทวีป
และได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลน้อยมากหรือแทบ
ไม่ได้รับเลย เช่น ทะเลทรายโกบี และทะเลทรายเตอร์กิสถาน เป็นต้น ทะเลทรายดังกล่าวเกิด จากการกระทำของลมและ
กระแสน้ำทำให้เกิดการกษัยการ (Erosion) และการทับถมขึ้นมาในทะเลทราย
ประเภทของทะเลทรายทะเลทรายเกิดจาก
การกระทำของลม โดยทำให้เกิดทั้งการกัดกร่อนและการทับถม
ซึ่งเรามักพบลักษณะพื้นดินที่เกิดจากการกระทำของลมมากในเขตอากาศแห้งแล้ง
เนื่องจากพื้นดินไม่มีพืชปกคลุมในเวลากลางวันและได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์เต็มที่
ในเวลากลางคืนอากาศจะเย็นลงจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบผุพังอยู่กับที่
และเมื่อเกิดลมพัดจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ทางด้านกายภาพ
จากการกระทำของลมและสภาพภูมิอากาศในเขตแห้งแล้งเราสามารถจำแนกทะเลทรายตามลักษณะที่ปรากฎได้ดังนี้
1.ทะเลทรายหิน (Hamada)
เป็นทะเลทรายที่ถูกปกคลุมด้วยหิน
เนื่องจากเม็ดทรายและดินถูกลมพัดพาไปจนหมดสิ้น คงเหลือแต่หินดินดานที่โผล่ขึ้นมา
ทะเลทรายหินปราศจากพืชพรรณปกคลุมเนื่องจากต้นไม้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้
ตัวอย่างทะเลทรายหิน ได้แก่ ทะเลทรายหิน เอลโฮมรา (Hamada el Homra) ที่เป็นส่วนหนึ่งของทะเลทรายซาฮารา
ในประเทศลิเบีย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 52,000 ตารางกิโลเมตร
2. ทะเลทรายหินกรวด (Reg)
เป็นทะเลทรายที่ปกคลุมด้วยเศษหินและกรวด ทะเลทรายชนิดนี้เดิมเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของฝูงอูฐขนาดใหญ่มาก่อน
ในประเทศอียิปต์ และ
ประเทศลิเบีย เราเรียกชื่อทะเลทรายชนิดนี้ว่า “ซีเรอ”
(Serir) แต่ในบริเวณอื่น ๆ ของแอฟริกาเรียกว่า “เรก” (Reg)
3.ทะเลทรายทราย (Erg)
เป็นทะเลทรายที่ปกคลุมพื้นที่แห้งแล้ง มีลมเป็นตัวการกระทำให้เกิดการทับถมกันของเนินทรายแบบต่าง
ๆ ทะเลทรายประเภทนี้ ได้แก่ ทะเลทราย
คาลานซิโอ (Calanscio Sand Sea) ในประเทศลิเบีย
ทะเลทรายเตอร์กิสถาน (Turdestan Desert) ในสาธารณรัฐเตอร์กิสถาน
เป็นต้น
4.ทะเลทรายแดนทุรกันดาร (Badland)
มักพบตามดินแดนทุรกันดารที่เกิดจากการกระทำจากพายุฝนเป็นครั้งคราวในเขตภูมิอากาศแห้งแล้ง
เป็นระยะเวลาต่อเนื่องมานานหลายศตวรรษ
จึงเกิดร่องธารและหุบเหวขนาดใหญ่ ที่มีความกว้างและลึกเป็นจำนวนมาก
โดยดินแดนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เลย เช่น
ทะเลทรายโกต้าใต้ และทะเลทรายเพตน์ (Painted Desert) ในรัฐอริโซน่า
ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น 5.ทะเลทรายภูเขา (Mountain Desert) ในบางแห่งพื้นที่ตามที่ราบสูงหรือภูเขาจะเกิดกระบวนการกษัยการจากน้ำค้างแข้ง
ทำให้ภูมิประเทศเกิดการผุพังสลายตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง เช่น
ทะเลทรายบริเวณเทือกเขาอแฮกการ์ (Ahaggar) และทิเบสติ (Tibesti)
ในทะเลทรายซาฮารา เป็นต้น
พืชในทะเลทราย
พืชที่พบในทะเลทรายจะมีการปรับตัวให้เข้ากับความร้อนของสภาพอากาศและวคามแห้งแล้งโดยการใช้กระบวนการเปลี่ยนแปลงสรีระและพฤติกรรม
พืชที่มีการปรับตัวด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางกายภาพจะเรียกพืชพวกนี้ว่า Xerophytes ซึ่งจะเป็นพวกแคคตัส
กระบองเพชรชนิดต่างๆ ซึ่งจะมีโครงสร้างพิเศษที่ช่วยในการเก็บและรักษาน้ำเอาไว้
พืชพวกนี้จะมีใบที่น้อยมากหรือบางครั้งก็ไม่มีใบเลย แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของใบไปเป็นหนามเพื่อลดการสูยเสียน้ำ
ส่วนพืชที่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งจะเรียกพืชพวกนี้ว่า
Phreatophytes พืชพวกนี้จะมีการเจริญของรากที่ดีมาก
สามารถหยั่งลึกลงไปทำให้มันสามารถหาน้ำได้ดีขึ้นหรือบางทีสามารถหยั่งไปใกล้กับแหล่งน้ำใต้ดิน
พืชชนิดอื่นก็มีการปรับตัวเช่นกันไม่ว่าจะเป็นพวก Perennials ที่จะหยุดการเจริญเติบโตหรือฟักตัวในช่วงฤดูร้อน
จากนั้นก็กลับมามีชีวิตในช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือช่วงที่มีน้ำเพียงพอ ส่วนพืชพวก Annuals
นั้นจะเป็นพืชที่มีชีวิตอยู่เพียงฤดูกาลเดียว
โดยการเร่งการงอกของเมล็ดเมื่อมีฝนจากนั้นจะเข้าสู่วงจรสืบพันธุ์อย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนก็จะตายไปเหลือแต่เมล็ดรอการเจริญต่อไปในฤดูฝนที่จะมาถึงครั้งต่อไป
No comments:
Post a Comment